วันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

เลือกใช้ Facebook ให้ถูกวิธี

เลือกใช้ Facebook ให้ถูกวิธี

Facebook กลายเป็นหน้าเว็บหลักของใครหลายๆ คนที่รักการท่องเว็บไซต์เป็นชีวิตจิตใจ ด้วยจุดเด่นของสังคมออนไลน์ ที่เชื่อมโยงสายใยของคนอีกหน้าจอ ทั้งที่รู้จักกันดี เคยรู้จัก หรือไม่รู้จักกันมาก่อน ให้สนิทสนมกลมเกลียวกันได้ โดยไม่ต้องเห็นหน้า หรือพบเจอกัน หลายๆ คนที่ใช้สมาร์ทโฟนอาจจะอัพเดตหน้าของ Facebook แทบจะตลอดเวลา เพื่อดูว่าเพื่อนของเรานั้น ทำอะไร ที่ไหน และเป็นอย่างไรบ้าง
ด้วยลักษณะของการเป็นสังคมออนไลน์ ทำให้ Facebook เป็นสื่อกลางในการสื่อสารได้เป็นอย่างดี ดังจะเห็นได้จากการพบเจอเพื่อนสนิทที่หายไปนาน ได้แลกเปลี่ยน พูดคุย เพราะ Facebook สามารถติดต่อสื่อสารผ่านทางตัวอักษร ภาพ หรือแม้กระทั่งภาพเคลื่อนไหว ได้จากทั่วทุกมุมโลก ที่สำคัญเป็นแบบ Real time แบบวินาทีต่อวินาทีเลยทีเดียว นอกจากนี้ยังมี Family Tree ให้ลำดับญาติมิตรที่ห่างไกล ให้มารวมตัวกันได้อย่างน่าอัศจรรย์
Facebook ยังเป็นเครื่องมือทางการตลาดให้กับการจำหน่ายสินค้า ซึ่งส่งผลดีทั้งผู้ซื้อ (ผู้รับสาร) และผู้ขาย (ผู้ส่งสาร) หลายๆ องค์กรมักจัดโปรโมชั่นลด แลก แจก แถม ผ่านทาง Facebook มีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ทำให้ผู้ซื้อได้มีโอกาสได้ของดีราคาถูก มีช่องทางในการติดตามข่าวสารได้มากยิ่งขึ้น ตลอดจนสามารถฟีดแบ็ค (Feedback) ความคิดเห็นต่างๆ ของผู้ซื้อที่มีต่อผลิตภัณฑ์ ตลอดจนบริการต่างๆ ได้อย่างสะดวกรวดเร็วมากยิ่งขึ้น
Facebook ยังเป็นกระดานที่เปิดให้เราแสดงความคิดเห็น ความรู้สึก ในขณะเดียวกันก็เปิดรับความรู้สึกและความคิดเห็น จากเพื่อนๆ ของเราได้ด้วย เป็นหนึ่งกำลังใจเล็กๆ ที่ช่วยเราในยามท้อถอยได้ แม้จะเป็นเพียงรูปภาพหรือตัวหนังสือบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ก็ตาม
อย่างไรก็ดี ทุกอย่างย่อมมีทั้งข้อดีและข้อเสีย Facebook ก็เช่นเดียวกัน บ่อยครั้งที่เรามักได้ยินข่าวเด็กถูกล่อลวง มีการแท็ก (Tag) ภาพที่ไม่เหมาะสม กระจายต่อๆ กันไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นควรเลือกเอาแต่ด้านดี ใช้งานในสิ่งที่ถูกที่ควร แล้วเราก็จะพบกับประโยชน์มากมายกับทุกๆ สิ่ง ดังเช่นการใช้งาน Facebook
-----------------------------------------------------------------------------------
ติดตามเราเป็นเพื่อนเฟสบุค   http://www.facebook.com/108trick 
ติดตามกูรูด้านสุขภาพทางไลน์   http://line.me/ti/p/%40108trick
สนใจสินค้าสุขภาพและความงาม  http://goo.gl/oogIL8

ทำงานให้ได้มากกว่าเงิน

ทำงานให้ได้มากกว่าเงิน

“งานคือเงิน เงินคืองาน บันดาลสุข” ทัศนคติที่หลายๆ คนมีต่องานที่ตนเองต้องทำ ว่าเป็นเพียงปัจจัยหนึ่งที่สามารถทำเงิน เพื่อนำเงินมาหาความสุข จริงอยู่ที่เราทำงานเพราะต้องการเงินมาใช้จ่าย เนื่องจากสังคมของเราต้องใช้เงินเพื่อการแลกเปลี่ยนปัจจัยการดำเนินชีวิต ทั้งปัจจัยสี่ ปัจจัยอื่นๆ ที่ตอบสนองต่อความต้องการ และการสร้างความสะดวกสบายของมนุษย์ แต่คงไม่ดีแน่หากทุกๆ วัน เรามัวมุ่งแต่ทำงานเพื่อการสร้างเงิน แต่ปราศจากใจที่รักในงานที่ทำอย่างแท้จริง
การทำงานที่หวังเพียงเงิน ไม่ต่างอะไรกับเครื่องจักรที่วันๆ เอาแต่ขับเคลื่อนฟันเฟืองไปเรื่อยๆ โดยไม่มีการพัฒนา จนวันนึงที่กลไกชำรุด เจ้าของคงทำได้เพียงนำไปซ่อมแซมหรือโละทิ้ง นั่นคือสิ่งตอบแทนที่ต่างฝ่ายต่างมอบให้กัน “คนๆ นึงทำงานเพื่อหวังเงิน ส่วนอีกคนใช้เงินเพื่อให้คนมาทำงาน” นับเป็นการเชิดชูวัตถุอยู่เหนือกว่าจิตใจ แถมทั้งคู่ก็ได้เพียงผลิตภัณฑ์ แต่ขาดความสัมพันธ์และคุณภาพ
ต่างจากคนที่รักในการที่ทำ คนประเภทนี้จะมีความสุขในการทำงาน มักจะคอยแสวงหาแนวทางใหม่ๆ มาปรับใช้เพื่อพัฒนาผลงานและตนเองอยู่เสมอ การทำงานด้วยความตั้งใจ จะช่วยให้เรามองเห็นประโยชน์หลายๆ อย่างที่ได้จากการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาทักษะที่เพิ่มมากขึ้น เป็นการแสวงหาโอกาสดีๆ ใหม่ๆ ไปในตัว เพราะการพัฒนาตนเองอยู่เสมอ จะช่วยให้เรารู้ถึงจุดดี จุดด้อย ความชอบของตัวเองมากยิ่งขึ้น หัวหน้าหรือนายจ้างที่ไหนก็รัก และเป็นที่ต้องการของทุกๆ องค์กร คนทำงานแบบนี้ย่อมได้ทั้งเงิน ได้ทั้งงาน ได้ความรู้ และได้หัวใจของเพื่อนร่วมงานและนายจ้าง
คงอยู่ที่คุณแล้วละครับ ว่าอยากเป็นคนทำงานที่ได้เพียงเงิน เช้าตอกบัตรเข้า เที่ยงกินข้าว เย็นตอกบัตรออก จบไปวันๆ หรือเข้างานเช้าอย่างกระปรี่กระเปร่า ทำงานด้วยความกระฉับเฉง เรียนรู้และพัฒนาตนเองอยู่เสมอ ออกจากที่ทำงานโดยทำการสะสางภาระงานอย่างเสร็จสิ้น เป็นที่ประทับใจของเจ้านาย นำมาซึ่งรายได้ ที่มากกว่าเงิน นั่นคือความรู้ โอกาสดีๆ ที่มีมากขึ้น ความภาคภูมิใจ และที่สำคัญได้ใจเจ้านายไปเต็มๆ
-----------------------------------------------------------------------------------
ติดตามเราเป็นเพื่อนเฟสบุค   http://www.facebook.com/108trick 
ติดตามกูรูด้านสุขภาพทางไลน์   http://line.me/ti/p/%40108trick
สนใจสินค้าสุขภาพและความงาม  http://goo.gl/oogIL8

สร้างสมองลูกน้อย สไตล์คลาสสิก

สร้างสมองลูกน้อย สไตล์คลาสสิก

เคยมีคำถามไหมคะ ว่าทำยังไงลูกน้อยจึงจะมีทั้งสุขภาพกายและลุขภาพใจและสมองที่ดี หรือ มีทั้งไอคิว และอีคิวควบคู่กันไป ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับเจ้าไอคิว (IQ) หรือ Intelligence quotient คือ ความฉลาดทางเชาวน์ปัญญา การคิด การใช้เหตุผล การคำนวณนั่นเอง ส่วนคำว่าอีคิว หรือ EQ มาจากคำว่า Emotional Quotient หมายถึง ความฉลาดทางด้านอารมณ์ ที่จะช่วยให้การดำเนินชีวิตเป็นไปอย่างราบรื่น การปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมนั่นเอง
ทีนี้มาถึงคำตอบล่ะค่ะ อย่างที่ทุกคนรู้กันก็คือ ต้องทานอาหารให้ครบทั้งห้าหมู่ แต่ที่หลายคนละเลยอาจ คือ สิ่งแวดล้อมที่เด็กกำลังสัมผัส เช่น หลายครั้งที่ลูกรักร้องไห้โยเย เพราะเสียงรบกวนจากสิ่งรอบข้างไม่ว่าจะเป็นวิทยุหรือโทรทัศน์ แต่มีอีกวิธีหนึ่งที่พ่อแม่หลายท่านอาจจะมองข้าม นั่นคือ การเปิดเพลงคลาสสิก หรือ เพลงบรรเลงให้เด็ก หรือลูกๆ ฟัง แม้แต่ผู้ใหญ่เวลาเครียดๆ ยังสามารถฟังเพื่อผ่อนคล้ายสมองได้เลยค่ะ
การที่เพลงคลาสสิกนั้นสามารถช่วยเสริมสร้างอารมณ์ เพิ่มสมาธิ และพัฒนาการทางสมองของลูกน้อยได้ เนื่องจากว่าเพลงคลาสสิกเป็นเพลงที่มีจังหวะ และท่วงทำนองที่ซับซ้อน ไพเราะ และสื่อออกมาได้ลึกซึ้งสวยงาม และมีหลายงานวิจัยและหลักฐานออกมายืนยันว่าสามารถเพิ่มพัฒนาการทางสมองของเด็กอย่างเห็นได้ชัด หากมีเวลาว่างก็อยากจะให้คุณพ่อคุณแม่ลองฟังเพลงไปเหล่านั้นไปพร้อมๆ กับลูก สังเกตปฏิกิริยาของลูกน้อยว่าเป็นอย่างไร
เพลงคลาสสิกที่คุณพ่อ คุณแม่หลายท่านคงจะรู้จักดี นั่นคือ บทเพลงของ Mozart หรือ Beethoven ที่มีท่วงทำนองในรูปแบบ Symphony Orchestra ซึ่งเราจะหาเพลงเหล่านี้ไม่ยากเลย เพราะตามห้างสรรพสินค้าก็มักจะมีเพลงเหล่านี้ในโซนเพลงคลาสสิกอยู่แล้ว หรือบางอัลบั้มก็คัดสรรบทเพลงเหล่านี้มาแล้วเพื่อลูกน้อยเป็นชุดๆ
หากคุณพ่อและคุณแม่มีเวลาว่างในการเดินช็อปปิ้ง ลองไปตามหาดูก็ได้ค่ะ แล้วจะพบว่าดนตรีที่ท่านได้ฟัง นอกจากจะผ่อนคลายทั้ง คุณพ่อ คุณแม่ และคุณลูกแล้ว ยังมีประโยชน์ในระยะยาวอีกด้วยค่ะ อย่างน้อยก็แบ่งเวลาให้ลูกของคุณฟังเพลงเหล่านี้ ก่อนที่จะนอนหลับไปพร้อมกับคุณ…พร้อมเสริมสร้างสมองลูกน้อย สไตล์คลาสสิก

-----------------------------------------------------------------------------------
ติดตามเราเป็นเพื่อนเฟสบุค   http://www.facebook.com/108trick 
ติดตามกูรูด้านสุขภาพทางไลน์   http://line.me/ti/p/%40108trick
สนใจสินค้าสุขภาพและความงาม  http://goo.gl/oogIL8

โรคเอดส์ โรคร้ายที่ต้องใส่ใจ

เอดส์ ถือเป็นโรคติดต่อที่ปัจจุบันยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่ด้วยความพยายามของทุกภาคส่วนทั่วโลก ทำให้ทุกวันนี้โรคติดต่อร้ายแรงอย่างเอดส์นั้น สามารถรักษาบรรเทาอาการของผู้ป่วยได้ เรียกได้ว่าหากดูแลตัวเองดีๆ และได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ ผู้ป่วยสามารถอยู่บนโลกใบนี้ได้อีกตราบจนสิ้นอายุขัยของตน และภาพลักษณ์ของโรคเอดส์ก็ไม่ได้เป็นโรคที่ดูน่ารังเกียจร้ายแรงดังเช่นแต่ก่อน นั่นเพราะมีการประชาสัมพันธ์สร้างความรู้ความเข้าใจอย่างสม่ำเสมอ แม้ทุกอย่างดูเหมือนจะดีขึ้น แต่สัดส่วนผู้ติดเชื้อเอดส์กลับไม่มีทีท่าว่าจะลดลงแต่อย่างใด
เอดส์ เป็นโรคที่เกิดขึ้นจากการติดเชื้อไวรัส HIV ส่งผลให้ภูมิคุ้นกันในร่างกายบกพร่อง ส่วนใหญ่มีสาเหตุสำคัญมาจากการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่ติดเชื้อ การเสพสารเสพติดทางเส้นเลือด เป็นต้น ซึ่งวันที่ 1 ธันวาคมของทุกปี องค์การอนามัยโลกได้กำหนดให้เป็น วันเอดส์โลก โดยในปีนี้มุ่งเน้นการรณรงค์ภายใต้แนวคิด “เอดส์ลดให้เหลือศูนย์ได้ (Getting to Zero)” โดยมุ่งสู่เป้าหมายที่เป็นศูนย์ 3 ประการร่วมกันภายในปี 2559 ได้แก่ ไม่มีผู้ติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่ ไม่มีการเสียชีวิตจากเอดส์ และไม่มีการเลือกปฏิบัติกับผู้ป่วยหรือผู้ติดเชื้อเอดส์
นอกจากวันที่ 1 ธันวาคม ที่กำหนดให้เป็นวันเอดส์โลกแล้ว กระทรวงสาธารณสุขของบ้านเรา ยังได้กำหนดให้วันที่ 1 กรกฎาคม ของทุกปี เป็น “วันรณรงค์ตรวจเลือดหาเชื้อเอชไอวีแห่งชาติ” อีกด้วย เพื่อรณรงค์ให้ประชาชนทั้งที่มีและไม่มีพฤติกรรมเสี่ยง ได้ตรวจเลือดเพื่อสืบหาอาการตั้งแต่เนิ่นๆ หากติดเชื้อขึ้นมาจะได้ทำการรักษาได้อย่างทันท่วงที และป้องกันการแพร่เชื้อไปยังผู้อื่น โดยจะเริ่มตั้งแต่ปี 2556 เป็นต้นไป ทั้งนี้ประชาชนสามารถเข้ารับบริการตรวจเลือดได้ฟรี ปีละ 2 ครั้ง ที่โรงพยาบาลของรัฐทุกแห่ง ทั่วประเทศ ถือเป็นอีกหนึ่งมาตรการที่สำคัญในการเร่งรณรงค์ ดำเนินการป้องกัน และช่วยเหลือผู้ที่ป่วยเป็นโรคเอดส์ได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกทางหนึ่ง
-----------------------------------------------------------------------------------
ติดตามเราเป็นเพื่อนเฟสบุค   http://www.facebook.com/108trick 
ติดตามกูรูด้านสุขภาพทางไลน์   http://line.me/ti/p/%40108trick
สนใจสินค้าสุขภาพและความงาม  http://goo.gl/oogIL8

ป้องกันโรคอ้วน ช่วงเทศกาลปีใหม่

ป้องกันโรคอ้วน ช่วงเทศกาลปีใหม่

เทศกาลปีใหม่ เป็นอีกหนึ่งช่วงเวลาแห่งความสุข ที่แวดล้อมไปด้วยญาติสนิท มิตรสหาย และครอบครัว ที่มีโอกาสมาพบปะสังสรรค์ แน่นอนว่างานปาร์ตี้ย่อมเต็มไปด้วยอาหารและเครื่องดื่มต่างๆ มากมาย ซึ่งเมื่อเทศกาลปีใหม่ผ่านพ้นไปแล้ว หลายๆ คนอาจต้องมานั่งกลุ้มกับตัวเลขหน้าปัดเครื่องชั่งน้ำหนักที่ดีดขึ้นอย่างไม่มีทีท่าว่าจะลงมาง่ายๆ เพราะฉะนั้นเพื่อเป็นการป้องกันโรคอ้วนที่จะตามมาหลังปาร์ตี้ ผมก็มีวิธีการดีๆ ง่ายๆ มาฝากกันครับ
1.หลีกเลี่ยงของมัน หวาน เค็ม และบุฟเฟ่ ปฏิเสธไม่ได้ว่าความอ้วนมีสาเหตุสำคัญมาจากการรับประทานเกินพอดี และรับประทานสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารที่มันจัด มีรสชาติหวาน หรือเค็มจัด เช่น ขนมเค้ก มันฝรั่งทอดกรอบ เป็นต้น เพราะฉะนั้นเพื่อป้องกันปัญหาโรคอ้วนก็คือ จะต้องหลีกเลี่ยงหรือลดปริมาณการบริโภคอาหารเหล่านี้ลง ตลอดจนน้ำอัดลม เลี่ยงได้ก็จะดีมากครับ โดยหันไปดื่มน้ำผลไม้ทดแทน
2.ไม่นอนดึก และดื่มเครื่องดื่มมึนเมาในปริมาณมาก เทศกาลปีใหม่หลายคนถือเป็นช่วงเวลาแห่งการเดินสายปาร์ตี้สังสรรค์ เรียกได้ว่าชนแก้วกันตั้งแต่เช้าจนเช้าของอีกวัน แม้เทศกาลปีใหม่จะจัดกันเพียงไม่กี่วัน แต่หากดื่มหนัก นอนดึกทุกวันแบบนี้เห็นทีคงไม่ดีแน่ เพราะร่างกายที่ไม่ได้รับการพักผ่อนอย่างเพียงพอ จะทำให้ระบบการทำงานภายในร่างกายมีปัญหา ตลอดจนการเผาผลาญไขมันก็ยังไม่มีประสิทธิภาพอีกด้วย
3.หากิจกรรมทำร่วมกัน เทสกาลปีใหม่ไม่ได้หาความสุขกันได้เฉพาะโต๊ะอาหารเท่านั้น หากแต่ยังมีกิจกรรมต่างๆ อีกมากมาย ที่สามารถสร้างความสุขร่วมกันได้ง่ายๆ เช่น การร้องเพลงคาราโอเกะและเต้นประกอบจังหวะ การไปเดินชมธรรมชาติร่วมกับครอบครัวตามสวนสาธารณะหรือสวนสัตว์ เป็นต้น เพื่อให้ร่างกายได้เกิดการเคลื่อนไหว และสร้างความเพลิดเพลินได้ภายในตัว
โดยเทสกาลปีใหม่ที่กำลังจะมาถึงนี้ หากใครกังวลเรื่องโรคอ้วนอยู่ละก็ ลองเอาหลักปฏิบัติง่ายๆ 3 ข้อไปลองใช้กันดู ก็ไม่สงวนลิขสิทธิ์แต่อย่างใดนะครับ

-----------------------------------------------------------------------------------
ติดตามเราเป็นเพื่อนเฟสบุค   http://www.facebook.com/108trick 
ติดตามกูรูด้านสุขภาพทางไลน์   http://line.me/ti/p/%40108trick
สนใจสินค้าสุขภาพและความงาม  http://goo.gl/oogIL8

อาหารเป็นพิษ โรคฮิตที่ต้องระวัง

อาหารเป็นพิษ โรคฮิตที่ต้องระวัง

อาหารเป็นหนึ่งในปัจจัยสี่ที่สำคัญของการดำรงชีวิต แต่หากรับประทานอย่างขาดการระมัดระวังหรือรู้เท่าไม่ถึงการ ก็อาจเจอกับอาการของโรคอาหารเป็นพิษได้ โดยโรคอาหารเป็นพิษนี้ เกิดได้ในทุกฤดู กับอาหารและน้ำดื่มทุกประเภทที่มนุษย์รับประทานเข้าไป
สาเหตุของอาหารเป็นพิษพูดง่ายๆ ก็คือการรับประทานอาหารและน้ำดื่มที่ปนเปื้อนเชื้อแบคทีเรีย หรือไวรัส  ตลอดจนการปนเปื้อนสารพิษทั้งพิษในทางธรรมชาติที่พบบ่อย เช่น เห็ดพิษ หรือสารพิษที่ปนเปื้อนในอาหารทะเล ตลอดจนสารเคมีต่างๆ เช่น สารหนู และสารโลหะหนักอื่นๆ เป็นต้น โดยความรุนแรงของอาการที่พบเมื่อป่วยเป็นโรคอาหารเป็นพิษนี้แบ่งออกได้เป็นสองระดับง่ายๆ คือ
ระดับที่ไม่รุนแรง เป็นกลไกที่ก่ออาการท้องเสีย เรียกว่า Noninflammatory type ซึ่งเชื้อจะก่ออาการเฉพาะกับเยื่อเมือกบุลำไส้เล็กเท่านั้น ไม่เข้าสู่ร่างกาย อาการที่พบส่วนใหญ่มักจะท้องเสียถ่ายเป็นน้ำ มีอาการปวดท้องแต่ไม่มาก ผู้ป่วยต้องระวังไม่ไปรับสารพิษเพิ่ม และดื่มน้ำบ่อยๆ เนื่องจากร่างกายสูญเสียน้ำเยอะ
ส่วนอีกระดับหนึ่งจะรุนแรง เรียกว่า Inflammatory type อันเป็นกลไกหนึ่งที่มีอาการปวดท้องมาก ร่วมกับการคลื่นไส้ อาเจียน มีไข้สูง ปวดเมื่อยตามร่างกาย อาจมีอาการรุนแรงเนื่องจากมีเชื้อโรคเข้าไปทำลายประสาท ส่งผลให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง เป็นอัมพาต และเสียชีวิตได้ในที่สุด
ดังนั้นเพื่อเป็นการป้องกันตนเองให้ห่างไกลจากโรคอาการเป็นพิษ ทุกคนจะต้องใส่ใจสุขภาวะของอาหาร และน้ำดื่ม ตลอดจนรักษาความสะอาดอื่นๆ ทั้งล้างมือให้สะอาด รักษาความสะอาดของภาชนะจาน ชาม เป็นต้น ทั้งนี้ควรบริโภคอาหารที่ปรุงสุก สะอาด วัตถุดิบที่เป็นของสดจะต้องสดใหม่ และหากไม่แน่ใจว่าเสียหรือมีเชื้อราขึ้นหรือไม่ ให้รีบทิ้งไปทันที อย่านำกลับมารับประทานโดยเด็ดขาด เพราะหากเจอเชื้อโรคที่รุนแรง อาจทำให้อาหารเป็นพิษ เป็นโรคที่น่ากลัวกว่าที่คุณคิดก็เป็นได้

-----------------------------------------------------------------------------------
ติดตามเราเป็นเพื่อนเฟสบุค   http://www.facebook.com/108trick 
ติดตามกูรูด้านสุขภาพทางไลน์   http://line.me/ti/p/%40108trick
สนใจสินค้าสุขภาพและความงาม  http://goo.gl/oogIL8

ฟันขาวง่ายๆ ได้หลายวิธี

ฟันขาวง่ายๆ ได้หลายวิธี

รอยยิ้มที่สดใสมีส่วนช่วยสร้างความประทับใจตั้งแต่แรกเห็น แม้อาจจะไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่รอยยิ้มที่เปิดกว้าง โชว์ฟันที่ขาวสะอาดก็เป็นอีกหนึ่งบุคลิกภาพที่สำคัญที่ทุกๆ คนปรารถนา แต่การรักษาความสะอาดในช่องปากคงไม่เพียงพอต่อการทำให้ฟันดูขาวสะอาดได้ วันนี้เราจึงนำวิธีดีๆ มากฝาก สำหรับผู้ที่อยากมีฟันขาวสะอาด ด้วยวิธีการต่างๆ ดังนี้
1.หลีกเลี่ยงอาหารและพฤติกรรมที่ส่งผลต่อสีฟัน เช่น ชา กาแฟ หรือการสูบบุหรี่ เพราะสารประกอบที่มีอาจส่งผลกระทบโดยตรงต่อสีฟัน ทำให้เหลือ ดำคล้ำ ก่อให้เกิดปัญหาช่องปาก และสุขภาพตามมาได้ แต่หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ ควรหมั่นทำความสะอาดช่องปากอย่างสม่ำเสมอ
2.ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ทำให้ฟันขาว ทุกวันนี้มีผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในช่องปากมากมาย ที่มีสรรพคุณช่วยทำให้ฟันขาว ไม่ว่าจะเป็นยาสีฟัน น้ำยาบ้วนปาก หมากฝรั่ง เป็นต้น ทั้งนี้ลองศึกษาส่วนประกอบ และคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์ให้ละเอียด และบางผลิตภัณฑ์อาจใช้ระยะเวลานาน ถึงจะช่วยให้ฟันแลดูขาวสะอาดได้
3.ใช้สมุนไพร หรือสารจากธรรมชาติ ที่มีคุณสมบัติช่วยทำให้ฟันขาว เช่น เกลือ มะนาว ใบข่อย  สตอรเบอร์รี่ หรือเบคกิ้งโซดา เป็นต้น โดยนำส่วนประกอบดังกล่าวมาขัดฟันสดๆ หรือจะผสมกับยาสีฟันแล้วแปรงทุกวันเช้าเย็นติดกัน ซึ่งต้องใช้ระยะเวลาพอสมควร แต่ผลที่ได้อาจขาวแบบธรรมชาติในแบบของเนื้อฟัน และช่วยขจัดคราบเหลืองของฟัน แต่หากใช้บ่อยหรือแปรงแรงเกินไป ก็อาจทำลายผิวเคลือบฟันได้
4.ใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์ ปัจจุบันวิวัฒนาการทางการแพทย์ก้าวล้ำไปมาก การฟอกสีฟันจึงสามารถทำได้หลายรูปแบบ เช่น ฟอกฟันขาวโดยใช้น้ำยาเคมี ใช้แผ่นฟอกฟันขาว การฉายแสงฟันขาว เช่น แสง Blue light แสงเลเซอร์ การเคลือบฟันเทียม และการครอบฟัน เป็นต้น โดยเทคโนโลยีดังกล่าวจะช่วยเนรมิตฟันที่ขาว สะอาด สดใส แต่ก็ต้องแลกกับค่าใช้จ่ายที่มีราคาสูงและควรเลือกการรักษาที่ได้มาตรฐาน เพราะวิธีการดังกล่าวอาจส่งผลเสียต่อผิวหรือเนื้อฟัน ในระยะยาวได้
อย่างไรก็ตาม แม้ฟันขาวๆ จะดูน่าสนใจ แต่ก็คงไม่สามารถเทียบได้กับรอยยิ้มที่ออกมาจากใจ ยิ้มด้วยความเป็นมิตร แม้ฟันจะไม่ได้ขาวสู้ใครๆ ได้ แต่ความจริงใจนี้ ก็ช่วยให้มีรอยยิ้มสวยๆ ติดตรึงผู้พบเห็นและสร้างความประทับใจได้เป็นอย่างดีเช่นกัน
-----------------------------------------------------------------------------------
ติดตามเราเป็นเพื่อนเฟสบุค   http://www.facebook.com/108trick 
ติดตามกูรูด้านสุขภาพทางไลน์   http://line.me/ti/p/%40108trick
สนใจสินค้าสุขภาพและความงาม  http://goo.gl/oogIL8